ขวบปีที่สาม สำหรับ “แมวพิฆาต” นครราชสีมา เอฟซี บนเวทีลีกสูงสุด… มีการเปลี่ยนแปลงต่างๆเกิดขึ้นกับสโมสรแห่งนี้ ตามธรรมชาติของโลกฟุตบอล
ตั้งแต่การผลัดเปลี่ยนจากยุคของ ซูกาโอะ คัมเบะ กุนซือชาวญี่ปุ่น ที่เน้นผลการแข่งขัน การเล่นที่ละเอียดละออและรัดกุม สู่ยุคใหม่ของ มิลอส โจซิค ที่ทำฟุตบอลสนุก เร้าใจ กล้าได้กล้าเสีย และสามารถปลุกวิญญาณนักเตะเคยถูกข้ามให้ฟื้นกลับมาทำผลงานได้ดีอีกครั้ง
การปรับภาพลักษณ์ เริ่มจาก โลโก้ที่มีความดุดัน น่ายำเกรง และร่วมสมัย ผลงานการออกแบบจาก บ.ฟาร์มกรุ๊ป ผู้สร้างสรรค์ โลโก้ฉลามของ ชลบุรี เอฟซี และ โลโก้ประจำการแข่งขันไทยลีก ที่เรียกเสียงฮือฮาไปเมื่อช่วงปลายปีที่ผ่านมา
อีกทั้งยังได้เปลี่ยนชุดแข่งขัน จากเดิมที่ใช้ยี่ห้อ แกรนด์สปอร์ต มาผลิตชุดเกราะด้วยตัวเอง โดยมีจุดเด่นของเสื้อแข่งปีนี้ เป็นลวดลายรูปตัว V สื่อถึง Victory ที่แปลว่าชัยชนะ ทั้งหมดนับเป็นการเปลี่ยนแปลงที่จะทำให้ “นครราชสีมา เอฟซี” ดูแปลกตากว่าที่เคยได้เห็น
ด้านขุมกำลัง สวาทแคท เลือกเก็บต่างชาติไว้เพียงรายเดียวคือ โดมินิค อะดิเยียห์ กองหน้าชาวกาน่า แล้วเสริมรวดเดียว 3 ราย อาทิ อันโตนิโอ พีน่า กองกลางจากพัทยา, วิกเตอร์ อิกโบเนเฟ แนวรับจากราชนาวี และ เคิร์สเต้ เวลโคสกี้ ที่คว้าตัวมาจาก อินชอน ยูไนเต็ด โดยยังเหลือโควต้าอีกหนึ่งราย ให้ มิลอส โจซิค เลือกช้อปก่อนตลาดซื้อขายนักเตะ ยกแรก จะปิดตัวลง
ด้านนักเตะไทย แม้จะเสียแกนหลักในแนวรับถึง 2 รายทั้ง กัมพร ปฐมอรรฆย์กุล, ประธาน แม้นศิริ แต่แข้งใหม่ที่เข้ามาก็นับว่าตอบโจทย์ของ โค้ชมิลอส ซึ่งส่วนใญ่ล้วนเป็นนักเตะที่ผ่านชั่วโมงบินสูง นำโดย กีรติ เขียวสมบัติ, กฤษดา เหมวิพัฒน์ และ นฤพล อารมณ์สวะ ส่วนแกนเก่าอย่าง ประลอง สาวันดี, เฉลิมพงษ์ เกิดแก้ว, เมธี ทวีกุลกาญจน์ ยังอยู่คอยประคับประคองน้องๆในทีมต่อไป
กัมพล ปฐมอรรฆย์กุล มือกาวฝีมือดีที่อยู่กับทีมมาถึง 3 ฤดูกาล ย้ายไปร่วมทีม บีอีซี เทโรศาสน คู่แข่งร่วมลีก แต่พวกเขาก็ได้ตัวแทนอย่าง พีระพงษ์ เรือนนินทร์ ผู้รักษาประตูดีกรีทีมชาติไทย รุ่นอายุไม่เกิน 23 ปี ซึ่งเป็นเด็กในคาถาของ มิลอส สมัยคุม บางกอก เอฟซี
แต่ทั้งนี้คาดว่า สรานนท์ อนุอินทร์ ผู้รักษาประตูมือ 2 คนเก่าที่ฝากผลงานได้ดีในฟุตบอลถ้วยฤดูกาลก่อน ลงป้องกันปากประตูเป็นตัวเลือกแรก โดยมี พีระพงษ์ เป็นคู่แข่งคนสำคัญ ส่วน ชัยณรงค์ บุญเกิด สแตนด์บายในตำแหน่งมือสาม
มิลอส โจซิค ได้ 4 แผงแบ็กโฟร์ชุดแรกที่ลงตัว ไล่จากขวา เอกณัฏฐ์ คงเกตุ ฟูลแบ็กลมกรดคนใหม่มีลุ้นแย่งตำแหน่งกับ เดชา สร้างดี
คู่เซ็นเตอร์ใช้ เฉลิมพงษ์ เกิดแก้ว กัปตันทีม จับคู่กับ วิกเตอร์ อิกโบเนโฟ กองหลังสัญชาติอินโดนีเซีย โดยมี เมธี ทวีกาญจน์ พร้อมลงทดแทนรวมถึง ณัฐพงษ์ สายริยา และ วราดร อุ่นอาจ กองหลังเด็กปั้นของสโมสรเป็นตัวสอดแทรก
แบ็กซ้ายไว้วางใจ ประลอง สาวันดี และ กัณตภณ สมพิทยานุรักษ์ คอยโอกาสเป็นตัวเลือกรอง นอกจากนี้ อธิบดี เอธิรัตน์ นักเตะสารพัดประโยชน์ก็สามารถเรียกมาใช้งานเป็น แบ็กขวา-ซ้าย เซนเตอร์ฮาร์ฟ ยามสถานการณ์ฉุกเฉินหรือมีผู้เล่นได้รับบาดเจ็บพร้อมๆกัน
ในระบบ 4-2-3-1 มิดฟิลด์ตัวกลาง อันโตนิโอ พีน่า ลูกน้องเก่าของ มิลอส จับจองพื้นที่ไว้แล้ว ส่วนจอมเก๋าอย่าง เมธี ทวีกาญจน์ ต้องเร่งสลัดเดี้ยงกลับมาให้ได้ก่อนเป็นอันดับแรกเพื่อแย่งชิงตำแหน่งตัวจริงกลับคืน ส่วน กฤษดา เหมวิพัฒน์ แข้งจอมขยันคนใหม่เป็นตัวไล่ตัดเกม โดยมี อธิบดี เอธิรัตน์ เป็นตัวสอดแทรก
ปีกฝั่งขวาใช้บริการ ชณัตพล สิกขะมณฑล ปีกตัวจี๊ดที่ มิลอส มอบโอกาสลงสนามจนฟอร์มเปรี้ยงปร้างในปีที่ผ่านมาเป็นแกนหลักสลับกับ ชาคริต ระวันประโคน เป็นครั้งคราวตามแทคติก ขณะที่เหล่าดาวรุ่งอย่าง พีระพัฒน์ พีรกิจ และ กิตติกร ปังขุนทด อาจจะต้องเสริมสร้างแคลเซียมในฟุตบอลถ้วยไปก่อน
ขยับมาที่เกมรุกฝั่งซ้าย โดมินิค อะดิเยียห์ ที่เล่นได้ทั้งกองหน้าและปีกมีโอกาสยึดตำแหน่งตัวจริงสูง ส่วนสำรองนั้น ศราวุธ สินธุปัน จะถูกสลับลงไปเป็นตัวเปลี่ยนเกม
กลางตัวรุก นฤพล อารมณ์สวะ เป็นแข้งที่ มิลอส โจซิค ชื่นชอบตั้งแต่อยู่เมืองทอง โชว์ฟอร์มดีในช่วงอุ่นเครื่องและจะเป็นหัวใจสำคัญของทีมในปีนี้ ส่วนตัวสำรอง ชณัตพล สิกขะมณฑล ก็พร้อมขยับมาช่วยหากนฤพลบาดเจ็บ
เคิร์สตี้ เวลโคสกี้ ตัวความหวังคนใหม่รับเหมาตำแหน่งนี้ไปโดยจะได้เบียดแย่งตำแหน่งกับ กีรติ เขียวสมบัติ อดีตกองหน้าทีมชาติไทย ส่วนหัวหอกเบอร์รองอย่าง ศุภกิจ เนียมคง และ พร้อมพงษ์ กรานสำโรง รอสแตนด์บายเป็นกำลังเสริมในแดนหน้าไปก่อน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น